ยกระดับประสิทธิภาพการจัดการคลังสินค้าไปอีกขั้น ด้วยเทคโนโลยีอุปกรณ์แบบสวมใส่ (Wearable)

0
3655

ปัจจุบันเทคโนโลยีอุปกรณ์เคลื่อนที่ (mobile technology) ได้เข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงในการดำเนินธุรกิจและการปฏิบัติการคลังสินค้าทั่วโลก ด้วยขนาดที่กระทัดรัด ราคาไม่แพงและง่ายต่อการใช้งานมากขึ้น ทำให้ปัจจุบันเทคโนโลยีอุปกรณ์แบบสวมใส่ (wearable) ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้รับการพัฒนาให้มีความทันสมัยมากขึ้น ควบคู่ไปกับประสิทธิภาพในการใช้งานตลอดซัพพลายเชนที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น

แม้เทคโนโลยีอุปกรณ์แบบสวมใส่ อย่าง หูฟัง (Voice Headset) เครื่องติดตาม (Tracking Units) และแอพพลิเคชั่นที่ใช้คู่กับอุปกรณ์เหล่านี้จะถูกนำมาใช้งานมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่เทคโนโลยีแบบสวมใส่อันทันสมัยก็ยังคงไม่หยุดการพัฒนา ขณะเดียวกันยังได้มีการพัฒนาเพื่อช่วยให้การปฏิบัติการคลังสินค้าสมัยใหม่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นด้วย โดยเทคโนโลยีสมัยใหม่ อย่าง แว่นตาอัจฉริยะ (Smart Glasses) และเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality) หรือที่รู้จักกันในชื่อเทคโนโลยี AR ก็เตรียมเข้ามาสร้างแรงกระเพื่อมในตลาดมากขึ้นเช่นกัน

LM จะพาคุณมาเจาะลึกรายละเอียดของเทคโนโลยีแบบสวมใส่และการปฏิบัติการในคลังสินค้าของอุปกรณ์แต่ละชนิดว่ามีความน่าสนใจและจะเข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงระบบคลังสินค้าสมัยใหม่อย่างไรบ้าง

Voice Assistance

เทคโนโลยีสั่งงานด้วยเสียง (Voice Assistance) เป็นหนึ่งในกลุ่มอุปกรณ์ที่ได้รับการพัฒนามากที่สุดในบรรดาเทคโนโลยีชนิดนี้ ซึ่งเทคโนโลยีนี้เป็นที่คุ้นเคยกันดีสำหรับผู้ที่ทำงานในอุตสาหกรรม เนื่องจากได้ถูกนำมาใช้นานนับสิบปีแล้ว อีกทั้งยังสามารถใช้งานได้ง่ายและมีประสิทธิภาพสูง โดยอุปกรณ์ชนิดนี้ได้มีการนำมาใช้บอกทิศทางให้กับพนักงานในการหาตำแหน่ง จำนวน และสถานที่จัดเก็บสิ่งของต่างๆ ภายในคลังสินค้า โดยสามารถส่งข้อความเสียงเพื่อให้อุปกรณ์รายงานผลได้ทันทีผ่านหูฟัง หลังจากที่ได้มีการเชื่อมต่อกับซอฟต์แวร์ ERP ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานทราบถึงรายการสิ่งของในคลังสินค้าได้แบบเรียลไทม์

ทั้งนี้ โซลูชั่นการสั่งงานด้วยเสียงจำเป็นต้องได้รับการออกแบบเพื่อการใช้งานเฉพาะทางเช่นเดียวกับเทคโนโลยีแบบสวมใส่อื่นๆ และมักจะถูกนำไปใช้งานร่วมกันกับเทคโนโลยีแบบสแกน ยกตัวอย่างเช่น โทรศัพท์มือถือที่สามารถสแกนรหัส หรือเครื่องอ่านบาร์โค้ดแบบสวมนิ้ว (Ring Scanner) ได้ กล่าวโดยสรุปคือ เทคโนโลยีสั่งงานด้วยเสียงถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแก่เจ้าของธุรกิจที่ต้องการสร้างความคุ้นชินกับเทคโนโลยีแบบสวมใส่

ปัจจุบันสายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพ (Fitness Band) และนาฬิกาอัจฉริยะ (Smart Watch) กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในตลาดผู้บริโภค ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้ล้วนมีบทบาทในภาคธุรกิจมาก่อน โดยเฉพาะการปฏิบัติการในคลังสินค้า ทั้งเครื่องอ่านบาร์โค้ดแบบสวมนิ้วและแบบสวมข้อมือ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนเครื่องสแกนบาร์โค้ดให้สามารถสวมใส่ได้แบบกระทัดรัด เพียงแค่ชี้มือหรือนิ้วไปที่สิ่งของนั้นๆ และกดปุ่มเพื่อสแกนบาร์โค้ด เท่านี้การทำงานในคลังสินค้าก็เป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำมากยิ่งขึ้น

จากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตได้ช่วยให้การใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้เป็นรูปเป็นร่างขึ้น โดยที่ตลาดเทคโนโลยีแบบสวมใส่ยังคงเติบโตเพื่อขยายการใช้งานให้ดียิ่งขึ้น ข้อมูลจากแต่ละหน่วยย่อยยังสามารถนำไปใช้ในซอฟต์แวร์จำลองเพื่อปรับปรุงคลังสินค้าให้ดียิ่งขึ้น อีกทั้ง การทำงานของ GPS ในเครื่องมือเหล่านี้จะมีประโยชน์มากขึ้นหากเป็นแอพพลิเคชั่นที่สามารถปิดการทำงานของหุ่นยนต์หรือเครื่องจักรได้อัตโนมัติหากมีการเกิดอุบัติเหตุหรืออันตรายต่อพนักงาน นอกจากนี้ ในอนาคตเทคโนโลยีไบโอเมตริกซ์ (Biometric) ที่ใช้ข้อมูลทางชีวภาพ เช่น ลายนิ้วมือ ในการยืนยันตัวตนของพนักงาน อาจจะได้รับการพัฒนาคุณสมบัติให้มากขึ้น เช่น การช่วยตรวจสอบและบ่งชี้ว่าการปฏิบัติการหรือสถานการณ์แบบใดที่สุ่มเสี่ยง และอาจนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุได้

เทคโนโลยีแว่นตาอัจฉริยะ ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับตลาดเทคโนโลยีแบบสวมใส่ แม้ว่าลูกค้าเป้าหมายของเทคโนโลยีในตอนแรกจะมุ่งไปที่กลุ่มผู้บริโภคเป็นหลัก แต่เทคโนโลยีนี้ก็ได้สร้างความน่าสนใจให้กับตลาดเทคโนโลยีแบบสวมใส่สำหรับการปฏิบัติการคลังสินค้าเช่นกัน

เนื่องจากแว่นตาอัจฉริยะได้ปูทางไปสู่โลกของเทคโนโลยี AR สำหรับธุรกิจหลายประเภท ซึ่งช่วยยกระดับการติดต่อสื่อสารให้สามารถมองเห็นภาพจริงของอีกสถานที่หนึ่งผ่านแว่นตาด้วยองค์ประกอบต่างๆ ที่เสริมภาพและเสียง ทำให้เทคโนโลยี AR พร้อมที่จะถูกนำมาใช้งานอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และซัพพลายเชนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิบัติการในคลังสินค้า

การนำแว่นตาอัจฉริยะและเทคโนโลยี AR ไปใช้ในการทำงาน จะช่วยให้พนักงานสามารถเห็นรายชื่อสินค้าที่ขณะใส่แว่นตาอัจฉริยะเมื่อหยิบสินค้าชิ้นนั้น จากนั้นแว่นตาอัจฉริยะจะทำการอ่านบาร์โค้ดและยืนยันว่าใช่สินค้าที่ต้องการหรือไม่ นอกจากนี้ การบรรจุภัณฑ์และการหยิบสินค้าก็จะสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะพนักงานจะได้รับการบอกเส้นทางที่ถูกต้องไปยังช่องทางเดินของชั้นสินค้าที่ต้องการและจุดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการวางสินค้านั้นๆ บนรถเข็น หรือในกรณีที่เกิดปัญหาระหว่างการทำงาน หัวหน้างานก็ยังสามารถเข้าถึงการมองเห็นผ่านแว่นตาของพนักงานเพื่อช่วยแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที

The Digital Warehouse

เทคโนโลยีทั้งหมดนี้นำไปสู่ระบบการจัดการคลังสินค้าแบบดิจิทัล เพื่อแทนที่ระบบการจัดการแบบเก่า ซึ่งจะช่วยลดกระบวนการบันทึกข้อมูลซ้ำซ้อนและลดข้อผิดพลาด อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจก็ยังไม่ควรยึดติดกับระบบแบบใหม่เพียงอย่างเดียว แต่ควรดำเนินการปรับปรุง การจัดการระบบคลังสินค้าและซัพพลายเชนที่มีอยู่เดิมด้วย เพราะแน่นอนว่าธุรกิจมีโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากการใช้เทคโนโลยีแบบสวมใส่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังคงมีปัจจัยที่ต้องพิจารณาประกอบการตัดสินใจมากมายก่อนที่จะเลือกใช้โซลูชั่นประเภทนี้อย่างเต็มรูปแบบ เนื่องจากการเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีแบบสวมใส่จำเป็นต้องมีการกำหนดกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบ โดยต้องมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานของระบบสารสนเทศที่สามารถรองรับความต้องการทางธุรกิจที่มากขึ้น นอกจากนี้ การประเมินประโยชน์จากการใช้งานเทคโนโลยีแบบสวมใส่และเทคโนโลยีไร้สายให้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพก็ยังเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อที่เทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกนำมาใช้งานอย่างเป็นประโยชน์และช่วยในการปฏิบัติการได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง

ทั้งนี้ การเติบโตของธุรกิจ e-commerce และการค้าปลีกออนไลน์นับเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีแบบสวมใส่อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากธุรกิจ e-commerce ได้ผลักดันให้เกิดความต้องการด้านการจัดการระบบคลังสินค้าที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การพัฒนาระบบวิเคราะห์ข้อมูลใน big data ยังจะช่วยให้การจัดวางตำแหน่งเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในคลังสินค้าและตลอดทั้งซัพพลายเชน

แม้ว่าการปรับใช้เทคโนโลยีแบบสวมใส่จะค่อยๆ เป็นไปอย่างช้าๆ แต่เราก็จะเห็นได้ว่าองค์กรขนาดใหญ่หลายแห่งเริ่มหันมาใช้เทคโนโลยีชนิดนี้กันมากขึ้น เพราะการเปลี่ยนแปลงแต่ละอย่างต้องใช้เวลา แต่การใช้งานอุปกรณ์แบบพกพาในคลังสินค้าแบบดิจิทัลนี่เองที่จะเชื่อมโยงการทำงานของผู้คนให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในอนาคต คลังสินค้าแบบดิจิทัลจะทำให้การปฏิบัติการและการจัดการตลอดทั้งซัพพลายเชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งการพัฒนาความสามารถในขั้นตอนการผลิต การเพิ่มผลิตผล ยกระดับประสิทธิภาพและเพิ่มความปลอดภัย เพื่อช่วยให้การทำงานในอนาคตเป็นไปอย่างชาญฉลาดมากขึ้น ขณะที่ลดการใช้กำลังให้น้อยลง


อัพเดตข่าวสารและบทความที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ก่อนใคร ผ่าน Line Official Account @Logistics Mananger เพียงเพิ่มเราเป็นเพื่อน @Logistics Manager หรือคลิกที่นี่

อัพเดตข่าวสารและบทความที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ก่อนใคร ผ่าน Line Official Account @Logistics Mananger เพียงเพิ่มเราเป็นเพื่อน @Logistics Manager หรือคลิกที่นี่

บทความก่อนหน้านี้WW Ocean คว้ารางวัลผู้ให้บริการแห่งปีจาก General Motors
บทความถัดไปRCL ปรับปรุงบริการ RMS เชื่อมมาเลเซีย – อินโดนีเซีย